จุดประกายเด็กคิดนอกกรอบ ....สนุกคิดกับของเล่นวิทย์ เรียนสนุก นั่งลุกสบาย ได้ความรู้
ของเล่นนั้น อยู่คู่กับเด็กทุกคน ทั้งของเล่นพื้นบ้านที่เกิดจากภูมิปัญญาไทยสืบทอดมาตั้งแต่โบราณกาล และของเล่นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถกระตุ้นและจุดประกายความสนใจในวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กๆ ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายได้ โดยเฉพาะในเรื่องของวิทยาศาสตร์พื้นฐาน
เก็บตกจาก “การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ในโรงเรียน ครั้งที่ 21” (วทร.21) จัดที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆนี้ ได้มีกิจกรรมที่น่าสนใจก็คือ กิจกรรมประชุมปฏิบัติการ (Workshop) ในหัวข้อ “สนุกคิดกับของเล่นวิทยาศาสตร์” เผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มาร่วมงาน เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นให้ครูจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนจากของเล่น ในรูปแบบของกิจกรรมง่าย ๆ เหมาะสมกับเนื้อหา และใช้วัสดุเหลือใช้หาได้ในท้องถิ่น ควบคู่กับจิตปัญญา
คุณครูนพพร มีช้าง คุณครูผู้สอนชั้น ป. 1 – ป. 3 จากโรงเรียนวัดจันทร์ตะวันออก โรงเรียนขนาดเล็กระดับประถมศึกษา อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งเป็นครูพี่เลี้ยงวิชาการที่มีผลงานเด่น ในโครงการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ผู้สอนวิทยาศาสตร์ ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ได้จัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์แสนสนุก ชื่อกิจกรรม “สนุกคิดกับของเล่นวิทยาศาสตร์” ให้แก่นักเรียนชั้น ป. 3 เพื่อให้นักเรียนเป็นนักทดลองที่ค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ทฤษฎีต่าง ๆ ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ผ่านการทดลองแสนสนุกจากของเล่นที่นำวัสดุอุปกรณ์เหลือใช้รอบ ๆ ตัวมาประยุกต์ทดลอง
ด้วยสโลแกนประจำใจของคุณครูนพพร ก็คือ “เรียนสนุก นั่งลุกสบาย ได้ความรู้” กล่าวคือ เวลาที่เรียน นักเรียนไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่กับที่ สามารถเคลื่อนไหวได้ตามธรรมชาติของเด็กๆ เพราะคุณครูรู้ดีว่า เด็กๆ ในวัยนี้ อดรนทนไม่ได้ที่จะนั่งอยู่กับที่นาน ๆ นักเรียนจึงมีความสุข แฮปปี้มาก ๆ ในยามที่ได้เรียนกับคุณครูท่านนี้
กิจกรรม “สนุกคิดกับของเล่นวิทยาศาสตร์” นี้เด็ก ๆ จะได้ทั้งความสนุกสนาน ประสบการณ์ ใหม่ ๆ การแสดงความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และคิดนอกกรอบ ในส่วนของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการสอนนั้นก็หาไม่ยาก ได้มาจากวัสดุในท้องถิ่น หรือวัสดุเหลือใช้ เช่น กระดาษ ขวดพลาสติก หลอดกาแฟ แก้วพลาสติก เป็นต้น
เพียงแค่ใช้กรรไกร ไม้บรรทัด คัทเตอร์ กาว สก๊อตเทป ผสมผสานกับจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ในเชิงออกแบบและเทคโนโลยีระดับประถมเข้าไป ก็ออกมาเป็นของเล่นแสนสนุกแบบต่างๆ และสามารถอธิบายด้วยวิทยาศาสตร์ได้มากมาย
รถพลังลูกโป่ง ทำจากขวดพลาสติกใส หลอดดูดน้ำแบบงอ ลูกโป่ง สก๊อตเทป ฝาขวด ไม้เสียบลูกชิ้น เป็นรถพลังลม หลักการทำงานสอดคล้องกับกฏการเคลื่อนที่ข้อที่ 3 ของนิวตัน “แรงปฏิกิริยา มีขนาดเท่ากับแรงกิริยา”
เฮลิคอปเตอร์กระดาษ ทำจากกระดาษและลวดเสียบกระดาษ เมื่อนำไปปล่อยจากที่สูง ก็จะลอยและหมุนลงไปคล้ายใบพัดของเฮลิคอปเตอร์
ปืนยิงลูกบอล สามารถประดิษฐ์ได้ภายใน 5 นาทีเท่านั้นจากขวดพลาสติก หนังสติ๊ก เทปกาว เชือก โดยมีหนังสติ๊กเป็นตัวถ่ายพลังงาน และใช้วัสดุต่างๆ เป็นกระสุนได้ เด็ก ๆ สามารถทดลองใช้กระสุนจากวัสดุที่ไม่เป็นอันตราย เช่น ยิ่งก้อนขนมปังจากบนฝั่งไปให้ปลากินในระยะไกล ๆ
ลูกบอลลอย ใช้หลอดดูดน้ำแบบงอ ลูกบอลจากกระดาษฟอยล์ หรือลูกปิงปอง และลวดเส้นเล็ก ประกอบเข้าด้วยกัน วิธีเล่น คือ นำลูกบอลมาวางไว้บนถ้วยที่ทำจากขดลวดที่อยู่ปลายหลอด แล้วเป่าเลี้ยงลูกบอลในอากาศให้อยู่ได้นาน ๆ หลักการทำงานเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างความดันและความเร็วของอากาศ
แตร ทำจากขวดพลาสติกใส เทปกาว ลูกโป่ง วิธีเล่น คือ เป่าลมลงไปตรงรูเล็ก ๆ ด้านข้างของขวดที่เจาะไว้ก็จะเปิดเสียง แตรของเล่นนี้ ใช้หลักการที่ทำให้เกิดเสียงเหมือนเครื่องดนตรีชนิดเป่าต่าง ๆ
หลอดหมุน เป็นของเล่นที่สร้างจากหลอดแบบงอ 2 หลอด ที่มีขนาดใหญ่กว่ากันเล็กน้อย ใช้หลักการทำงานของแรงดันอากาศที่เป่าจะผ่านหลอดออกมาทางรูที่ตัดปลายเฉลียงไว้ จะผลักอากาศด้านนอกขับเคลื่อนหลอดไปข้างหน้า จึงทำให้หลอดหมุนไปรอบ ๆ
เหวี่ยงมหาสนุก ทำจากไม้เสียบลูกชิ้น ยางลบ ยางรัดของ โดยนำของเล่นมาเหวี่ยงให้ก้อนยางลบหมุนไปรอบ ๆ เป็นของเล่นที่ใช้หลักการสมดุลและการเคลื่อนที่แบบวงกลม
คุณครูนพพร มีช้าง กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนนี้ว่า “ครูต้องการให้เด็กสนใจวิทยาศาสตร์ ให้รู้หลักการง่าย ๆ อยากให้นักเรียนมีความสุข ให้เกิดความรู้ที่ตกตะกอนในใจที่นักเรียนได้มาจากการคิดด้วยตัวเอง ได้ลงมือทำ และเรียนอย่างมีความสุข”
“การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ให้กับผู้เรียนนั้น ครูสามารถจัดได้ทั้งในโรงเรียน นอกห้องเรียน ทุกที่และทุกสถานการณ์ ครูจะทำอย่างไรให้สนุกกับการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้กับชีวิตประจำวัน เป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ สนใจโลกแห่งวิทยาศาสตร์ อยากรู้อยากเห็น ต้องการค้นหาคำตอบของปัญหานั้นๆ” ครูนพพรกล่าวทิ้งท้าย