
วันที่ 13 กันยายน ของทุกปี เป็นวันแห่งการคิดบวก หรือ Positive Thinking Day บทความของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดให้นิยามการคิดบวกคือการที่เรามีสติรู้ตัวมองหาด้านบวกในเหตุการณ์นั้น ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่
ทำไมต้องมีวันนี้
วันนี้จัดตั้งขึ้นโดยชาวอเมริกันกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้ทุกคนเห็นคุณค่าของการคิดเชิงบวกจึงถือเป็นวันที่เราจะใช้เป็นวันเริ่มต้นของการคิดบวกของเราเองก็ได้ เพราะโดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เรามักจะมีความคิดในแง่ลบเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ไม่ควรเกิดขึ้นซะทีเดียว เพราะการคิดลบคือสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์ นั่นคือความคิดเชิงลบจะช่วยให้เราระมัดระวังตัวหากมีสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้น
แต่…ถ้าเราคิดลบตลอดเวลา จะทำให้เราเกิดความเครียด ความเครียดที่ต่อเนื่องยาวนานจนเกินไป จะทำให้สารเคมีในสมองเสียสมดุลย์จนอะมิกดาลาทำงานเด่นขึ้นมา (อ่านเรื่องอะมิกดาลาที่ https://www.ipst.ac.th/knowledge/102141/amygdala.html) ซึ่งจะส่งผลเสียต่อสุขภาพในที่สุด
งานวิจัยจากมหาวิทยาลัย Hopkins พบว่า ผู้ที่ครอบครัวมีประวัติเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ แต่หากเป็นคนคิดบวก มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตด้วยโรคเกี่ยวกับหลอดเหลือดและโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่มีประวัติในครอบครัวแต่มีทัศนิคติเชิงลบอยู่ตลอดเวลาถึงร้อยละ 13 เมื่อเราเริ่มคิดบวก ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ได้แก่ โดปามีน (dopamine) ออกซิโทซิน (oxytocin) เซโรโทนิน (serotonin) และเอ็นดอร์ฟิน (endorphin) เรียกรวม ๆ ว่า “โดส” (DOSE) ซึ่งจะช่วยให้เรารับมือกับความเครียด ความตื่นตระหนก กระวนกระวายใจได้ดีขึ้น บางงานวิจัยกล่าวว่า ช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง หัวใจวาย โรคติดเชื้อต่าง ๆ เป็นต้น นอกจากนั้น การฝึกฝนคิดบวกอยู่อย่างสม่ำเสมอ ยังช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสมองตลอดจนสารสื่อประสาทด้วย คล้าย ๆ กับการที่เราออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอแล้วทำให้รูปร่างเราเปลี่ยนไปได้ ดังนั้นเราควรต้องฝึกที่จะคิดบวกเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพใจและสุขภาพกายที่ดี มีอายุยืนยาวต่อไป
เริ่มต้นอย่างไรดี
แน่นอน…ต้องเริ่มที่ทัศนคติของเราที่จะต้องพยายามเปลี่ยนมุมมองร้าย ๆ ในเรื่องนั้นให้มองไปที่เรื่องดี ๆ เสียบ้าง อย่าปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความเครียด หันไปยิ้มกับตัวเอง หัวเราะเสียบ้าง ส่งยิ้มให้แก่กัน หรือการดมดอกไม้หอม ๆ ก็ช่วยได้เช่นกัน นอกจากนี้ การสวมใส่เสื้อผ้าสีสดใสก็จะทำรู้สึกว่าโลกรอบตัวเราสดใสขึ้นมาทีเดียว
มองโลกในแง่บวกดีอย่างไร
- ลดความเครียด ความวิตกกังวล
- ดีต่อระบบหลอดเลือดหัวใจ ลดความดัน ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคที่เกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด
- ดีต่อภูมิคุ้มกัน ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ลดการเกิดโรคและการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย
เทคนิคง่าย ๆ ในการฝึกเป็นคนคิดบวก
- ยิ้มให้บ่อยขึ้น แม้แต่กับเรื่องเล็กน้อย
– แต่ถ้ายิ้มไม่ออก มีงานวิจัยกล่าวไว้ว่า ก็แกล้งยิ้มก็ได้นะ เพราะการยิ้มในขณะเกิดความเครียจะช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
- ฝึกมองเรื่องดีที่แทรกอยู่ในเรื่องร้ายนั้น ๆ
– ดังสำนวนเปรียบเทียบที่ว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ นั่นคือในสถานการณ์ใด ๆ ก็ตามจะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย หรือมีมุมมองอื่น ๆ เสมอหากเราสนใจที่จะพิจารณา
- ฝึกสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ
– เพราะความแข็งแกร่งทางจิตใจจะทำให้เราสามารถรับมือกับความเครียดหรือการสูญเสียได้ ซึ่งต้องเริ่มจากการรักษาความสัมพันธ์ในครอบครัวหรือแม้แต่ในกลุ่มเพื่อน ยอมรับและเตือนตัวเองไว้เสมอว่าความไม่แน่นอนคือความแน่นอน และหากมีปัญหาใด ๆ ต้องพร้อมเผชิญหน้าเพื่อแก้ไข อย่าคิดว่าปัญหาจะหายไปได้เองหรือคาดหวังให้บุคคนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ
- ฝึกสมาธิ จดจ่อกับลมหายใจแทนที่การคิดฟุ้งซ๋าน ฝึกหายใจเข้าออกลึก ๆ อย่างช้า ๆ
- ก่อนนอนให้จดบันทึกเรื่องราวดี ๆ สัก 3 เรื่อง และนึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เราทำให้ผู้อื่นในวันนั้น ๆ
เดี๋ยวก่อน เราคิดในแง่บวกหรือเราคิดเข้าข้างตัวเองกันแน่นะ !!
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่าการคิดในแง่ลบก็ไม่ได้แย่ซะทั้งหมด ในทำนองเดียวกัน การคิดในแง่ดีจนเกินไป ก็เป็นเหตุการณ์ที่ต้องระวังเช่นกัน เคล็ดลับง่าย ๆ ที่จะไม่ทำให้เราสับสนระหว่างคิดบวกกับคิดเข้าข้างตัวเองก็คือ “มองโลกตามความเป็นจริง” นั่นเอง
แม้ว่าความเชื่อมโยงระหว่างการคิดเชิงบวกกับสารเคมีในสมองจะมีความซับซ้อน แต่ก็เป็นกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพจิตที่ดี และส่งผลดีต่อสุขภาพกาย และแน่นอน…เป็นเรื่องที่ฝึกฝนได้ เพียงเราคิดจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ https://www.cra.ac.th/th/featured_stories/view/TheHappiness_inYou
: https://www.hopkinsmedicine.org/health/wellness-and-prevention/the-power-of-positive-thinking