ฮาโลวีนปีนี้ เลิกกลัวผีกันได้แล้ว

วันฮาโลวีนตรงกับวันที่ 31 ตุลาคม ของทุกปี หรือเรียกว่าเป็นวันปล่อยผี ในสมัยก่อน วันนี้จะเป็นวันที่เฉลิมฉลอง 1 วัน ก่อนที่จะเป็นวันสมโภชนักบุญซึ่งเป็นวันสำคัญของชาวคริสต์ ในปัจจุบัน วันปล่อยผีนี้ ไม่ได้น่ากลัวแต่อย่างใด หากแต่เป็นเสมือนวันรื่นเริงให้คนออกมาแต่งตัวเป็นผีเดินเที่ยวเล่น ผีเด็กน้อยเดินเคาะประตูตามบ้านเพื่อรับลูกอมจากผู้ใหญ่ใจดี หรือจัดปาร์ตี้ผีกันอย่างสนุกสนานแต่งตัวเป็นผีสวยงามกันที่บ้าน

หันกลับมาดูบ้านเรา ผีที่เราได้ฟังกันมา น่ากลั๊ว น่ากลัว ควักไส้ ถอดหัว ตาถลน ฟังบ่อย ๆ เข้า เราก็เกิดความกลัวในที่สุด

ในทางวิทยาศาสตร์ ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าผีเป็นอย่างไร มีจริงหรือไม่ แต่ที่เราเห็นผี อธิบายได้ว่า เกิดจาก 1) “สมองของเรา” เพราะสมองของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะพลาดสิ่งต่าง ๆ และจดจำเหตุการณ์ผิดพลาดได้ และยังอาจด่วนสรุปเมื่อต้องพยายามทำความเข้าใจกับประสบการณ์ที่คลุมเครือ และ 2) “สิ่งแวดล้อมภายนอก” ยกตัวอย่างเช่น ในที่มืด ตึกเก่าอับชื้นที่มีเชื้อรา ก็ทำให้เกิดการหายใจลำบากจนทำให้เส้นประสาทตาเกิดการอักเสบขึ้นชั่วคราวจนเห็นเป็นเงาดำ ๆ ที่เราเคยจินตนาการว่าคือผีได้ นอกจากนี้ยังพบว่า เชื้อราบางชนิดทำให้เกิดอาการประสาทหลอนและกลัวได้ด้วย เชื่อหรือไม่ว่า แม้แต่การอดนอน มีความเครียดมาก ๆ หรืออยู่ในที่ร้อนชื้น หรือแม้แต่เข้าไปยังสถานที่ที่ได้ชื่อว่ามีผี ก็เป็นปัจจัยกระตุ้นทำให้คิดว่าเห็นผีได้ในบางคน

นอกจากนี้ ยังมีแนวคิดอื่น ๆ อีกที่อธิบายเรื่องผี ดังนี้

แนวคิด I กล่าวถึงสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic field) ที่เข้าไปรบกวนการทำงานของสมอง ทำให้เกิดการรับรู้ที่ผิดปกติไปโดยมีปัจจัยมาจากสิ่งเร้าภายนอกหรือที่เรียกว่าอาการประสาทหลอน (Hallucination) ซึ่งเกิดจากสมองของตนเอง ไม่ใช่เฉพาะการเห็นผีเท่านั้น หากแต่ยังอาจทำให้รู้สึกได้ว่าตนเองพบเห็นเหตุการณ์เหนือธรรมชาติอื่น ๆ ได้ นี่เอง จึงเป็นเหตุผลที่รายการบางรายการจึงต้องมีเครื่องตรวจจับผีเพื่อทำให้สมองเราทำงานผิดเพี้ยนไป

เรียนรู้เกี่ยวกับแม่เหล็กไฟฟ้าได้ที่ หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ม. 3 เล่ม 1 https://proj14.ipst.ac.th/m3/m3-sci-book1/sci-m3b1-011/ และ หนังสือเรียนฟิสิกส์ รายวิชาเพิ่มเติม ชั้น ม. 5 เล่ม 5 https://proj14.ipst.ac.th/m4-6-physics/m6-phys-book5/phys-m6b5-001/

แนวคิด II กล่าวถึง ความถี่ของเสียง (Frequency) ความถี่ที่ต่ำกว่าปกติที่มนุษย์ได้ยินหรือที่เรียกว่า คลื่นใต้เสียง (Infrasonic waves หรือ Infrasound) ซึ่งเป็นช่วงความถี่ที่ต่ำกว่า 20 เช่น ความถี่ที่สัตว์บางชนิด อาทิ ช้าง ใช้สื่อสารกัน ความถี่ที่ต่ำนี้ทำให้เกิดการเคลื่อนที่ของลูกตาอย่างเบา ๆ ส่งผลให้สมองสร้างภาพที่ผิดปกติไปจากความเป็นจริงได้ หรือเสียงระฆังดังเหง่งหง่าง หรือเสียงดนตรีในโบสถ์ ก็เป็นความถี่ที่ทำให้เราเกิดอาการขนลุกขนพองหรือหนาวสั่น ผมตั้งได้ นอกจากนี้ บรรยากาศรอบ ๆ ตัวเราก็ยังมีแหล่งกำเนิดความถี่เสียงในช่วงคลื่นที่เราไม่ได้ยินอีกมากมาย ทั้งท่อแอร์ ระบบไฟฟ้าในบ้าน เป็นต้น

เรียนรู้เรื่อง “เสียง คลื่นใต้เสียง และคลื่นเหนือเสียง” ได้ที่ หนังสือเรียนฟิสิกส์ รายวิชาเพิ่มเติม ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 4

เสียงเกิดขึ้นได้อย่างไร https://proj14.ipst.ac.th/p1/p1-sci-book2/sci-p1b2-007/

หรือแม้แต่การที่ร่างกายเราขยับไม่ได้แต่รู้สึกตัวตื่นอยู่ที่เข้าใจกันว่าเป็นอาการผีอำ ก็อธิบายได้ด้วยภาวะอัมพาตขณะหลับ (Sleep Paralysis) ภาวะนี้เปรียบเสมือนกับเรากำลังฝันในขณะที่ยังลืมตาอยู่นั่นเอง “คุณจะอยู่ในสภาวะผสมระหว่างการมีสติขณะตื่นปกติกับการมีสติในฝัน และเนื้อหาของความฝันก็หลั่งไหลเข้ามาสู่การรับรู้ขณะตื่น ผลลัพธ์อาจน่ากลัวอย่างยิ่งได้” ศาสตราจารย์ French แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอน ได้กล่าวไว้ นั่นคือ ขณะที่ร่างกายเข้าสู่การนอนหลับระยะการกลอกตาอย่างรวดเร็ว (REM sleep) สมองจะยับยั้งไม่ให้ร่างกายเคลื่อนไหว ในระยะนี้ เราสามารถรู้สึกว่าตนเองตื่นอยู่ได้ แต่กลับไม่สามารถขยับร่างกายได้ และจากประสบการณ์เก่า ๆ ของเราเองที่ได้รับฟังเรื่องราวมา เงาดำ ๆ มักจะมาปรากฏให้เห็นอย่างแน่นอน

หลาย ๆ เหตุการณ์ที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์นั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า เรายังหาคำอธิบายนั้น ๆ ไม่เจอต่างหาก ตามที่ศาสตราจารย์ French ได้เคยกล่าวไว้

ทำอย่างไรดีล่ะ ก็กลัวผีไปแล้ว

  1. เลิกฟังเรื่องผี หรือดูหนังผี เพื่อปรับโครงสร้างทางสมองของเราใหม่ หรือคล้าย ๆ เป็นการสะกดจิตตัวเอง
  2. เอ๊ะ…เรากลัวผีหรือเรากลัวความมืดกันแน่ ลองทำความเข้าใจตัวเอง หรือจริง ๆ แล้วคนเรา กลัว “ความไม่รู้” ใช่หรือไม่ คุยกับตัวเองว่าเรากลัวอะไร ผีคืออะไรกันแน่ ถ้าผีคือคนที่ตายไปแล้ว เราก็ต้องเป็นผีใช่หรือไม่
  3. สร้างเรื่องราวใหม่ ๆ ให้สมอง เช่น คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับผี เรื่องตลกเกี่ยวกับผี หรือเติมเต็มสมองด้วยเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับผีหรือเรื่องราวดี ๆ
  4. แก้ไขตามอาการ เช่น วันนี้กลัวผีมาก นอนไม่ได้เลย เปิดไฟนอนก็ได้นะ หรือจะไปเคาะประตูขอนอนกับเพื่อนข้างห้องเป็นครั้งคราวก็อาจจะได้
  5. สุดท้าย จะกลัวทำไมล่ะผี มาแล้วก็คุยกันไปเล้ย…..

ขอขอบคุณข้อมูลจาก

https://www.snexplores.org/article/science-ghosts

https://www.bbc.com/bbcthree/article/f8ce7277-5945-470a-b1ad-0c637d8265c1


ส่งข้อความถึงเรา
Skip to content