วันเบาหวานโลก – เบาหวานกับความเป็นอยู่ที่ดี

วันเบาหวานโลก – เบาหวานกับความเป็นอยู่ที่ดี

ในปี ค.ศ. 1991 องค์การเบาหวานสากล (International Diabetes Federation หรือ IDF) ร่วมกับองค์การอนามัยโลก (World Health Organization หรือ WHO) ได้กำหนดให้ทุกวันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็น “วันเบาหวานโลก” (World Diabetes Day) เพื่อเป็นการรณรงค์ให้เห็นความสำคัญของโรค โดยมีสัญลักษณ์เป็น “วงกลมสีฟ้า” ที่แทนความสามัคคีของประชาคมโลกในการต่อสู้กับโรคนี้ ซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 2006 องค์การสหประชาชาติได้ประกาศอย่างเป็นทางการให้เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของโลก เพื่อร่วมสร้างความตระหนักรู้ต่อโรคเบาหวานที่เป็นภัยคุกคามทางสุขภาพและเศรษฐกิจของประชากรโลก  นอกจากนี้วันที่ 14 พฤศจิกายน นี้ยังตรงกับวันเกิดของ เซอร์ เฟรเดอริก แบนติง (Sir Frederick Banting) นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาผู้ค้นพบอินซูลินที่ช่วยชีวิตผู้ป่วยเบาหวานหลายล้านคนทั่วโลก

ธีมของปี 2025: “เบาหวานกับความเป็นอยู่ที่ดี”

วันเบาหวานโลกในปีนี้มาในธีม “Diabetes and Wellbeing” หรือ “เบาหวานกับความเป็นอยู่ที่ดี” เพื่อเน้นย้ำว่าการดูแลผู้ป่วยเบาหวานไม่ใช่เพียงแค่การควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดเท่านั้น แต่จำเป็นต้องครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต และคุณภาพชีวิตโดยรวม ซึ่งผู้ป่วยทุกคนควรได้รับการดูแลอย่างครบถ้วนเพื่อชีวิตที่เป็นสุขและมีคุณค่า ในปีนี้ยังเน้นเพิ่มเติมว่าเป็น Diabetes and workplace ซึ่งแคมเปญนี้ในประเทศไทย คือ “ทำงานสุข ลดทุกความเสี่ยง สุขภาพดี เริ่มที่ทำงาน” โดยเป็นการสนับสนุนส่งเสริมบุคลากรในที่ทำงานที่ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยหน่วยงานให้สนับสนุนและส่งเสริมในด้านต่างๆ เช่น ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเบาหวาน การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นต้น

โรคเบาหวาน: ภัยเงียบที่ทุกคนไม่ควรมองข้าม

เบาหวานคืออะไร?

โรคเบาหวาน (Diabetes mellitus) คือ ความผิดปกติของกระบวนการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานในเซลล์ โดยเกี่ยวข้องกับ “อินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนจากตับอ่อนที่ควบคุมการนำน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ หากอินซูลินมีไม่เพียงพอ หรือตอบสนองไม่ดี น้ำตาลจะไม่ถูกใช้และสะสมอยู่ในกระแสเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่ามาตรฐาน และเมื่อเวลาผ่านไประดับน้ำตาลสูงที่เรื้อรังจะค่อย ๆ ทำลายอวัยวะสำคัญของร่างกาย นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงที่ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเบาหวานไปตลอดกาล

ใครมีความเสี่ยงบ้าง?

ปัจจัยทางพันธุกรรม หากคนในครอบครัวของคุณเป็นเบาหวาน คุณมีโอกาสเป็นมากกว่าคนทั่วไป

ปัจจัยจากการใช้ชีวิต แม้ไม่มีประวัติเบาหวานในครอบครัว แต่คุณก็อาจเป็นเบาหวานได้จากสาเหตุเหล่านี้ (1) น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน (2) กินอาหารไม่ถูกหลักโภชนาการ โดยเฉพาะอาหารหวานจัด มันจัด เค็มจัด (3) ไม่ค่อยออกกำลังกาย และ (4) การใช้ยาบางชนิดเป็นระยะเวลานาน

สถิติเกี่ยวกับเบาหวานที่น่าตกใจ!!!

จำนวนผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ข้อมูลล่าสุดจาก IDF ระบุว่า 11.1% หรือ อัตราส่วน 1 ในทุก 9 คนของประชากรผู้ใหญ่ (อายุ 20-79 ปี) เป็นโรคเบาหวาน และผู้ป่วย 4 ใน 10 คนนั้นไม่รู้ว่าตนเองป่วย นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าเมื่อถึงปี ค.ศ. 2050 จะมีประชากรถึง 1 ใน 8 คน หรือประมาณ 853 ล้านคนจากทั่วโลกเป็นเบาหวาน ซึ่งจำนวนผู้ป่วยเบาหวานที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ทำให้องค์กรสาธารณสุขทั่วโลกออกมารณรงค์เพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงอันตรายของโรคนี้

สำหรับประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 2024 พบประชากรผู้ใหญ่เป็นเบาหวานประมาณ 10.2% หรือราว 6.36 ล้านคน ซี่งความชุกของโรคเพิ่มขึ้นตลอดสองทศวรรษที่ผ่านมา จึงควรดำเนินการมาตรการ “ป้องกัน คัดกรอง ดูแลต่อเนื่อง” อย่างจริงจัง.

โรคเบาหวานสำคัญอย่างไร?

⚠️ โรคเบาหวานรักษาไม่หาย ต้องควบคุมตลอดชีวิต

⚠️ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น ไตวาย ตาบอด แผลเรื้อรังที่เท้าที่อาจถึงขั้นต้องตัดอวัยวะ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง

โรคเบาหวานเป็น “ภัยเงียบ” ที่ทำลายสุขภาพโดยไม่มีการเตือนที่ชัดเจน ในแรกเริ่มโรคนี้ไม่มีอาการแสดงออก ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปีและการดูแลตนเองอย่างใกล้ชิดจึงเป็นเรื่องสำคัญ หากคุณหรือคนใกล้ชิดอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตให้ดีขึ้น เพราะการป้องกันนั้นดีกว่าการรักษาเสมอ เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคเบาหวานนั้นมีราคาที่สูงมาก เช่น ในสหรัฐอเมริกาค่าใช้จ่ายรักษาโรคเบาหวานสูงถึง 413 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ข้อมูลจากปี ค.ศ. 2017) ซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่มีการใช้จ่ายในการรักษาสูงที่สุด

ประเภทของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก:

เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): เกิดจากร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยการฉีดอินซูลิน มักพบในเด็กหรือคนอายุน้อย ในปี ค.ศ. 2017 พบผู้ป่วยประมาณ 9 ล้านคนทั่วโลก ที่สำคัญเบาหวานชนิดนี้ไม่มีทางป้องกัน!

เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 diabetes): เกิดจากร่างกายผลิตอินซูลินน้อยลง หรือมีการใช้อินซูลินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ หากไม่รักษาจะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น และหากเป็นเรื้อรังจะส่งผลร้ายต่อร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อระบบประสาทและเส้นเลือด เบาหวานชนิดนี้พบมากในวัยผู้ใหญ่ สามารถป้องกันและรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารที่เหมาะสม นอกจากนี้การหมั่นตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอและตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำเป็นอีกทางหนึ่งที่จะช่วยไม่ให้อาการของโรคแย่ลง

ธีมของวันเบาหวานโลกในปีนี้เน้นย้ำเรื่อง “ความเป็นอยู่ที่ดี” ซึ่งครอบคลุมทั้ง สุขภาพกาย ที่ผู้ป่วยต้องควบคุมระดับน้ำตาล ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และรับประทานยาตามแพทย์สั่ง และ สุขภาพจิต เพราะผู้ป่วยเบาหวานมักมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะซึมเศร้าและความวิตกกังวล จึงต้องให้การดูแลด้านจิตใจควบคู่กัน  นอกจากนี้การที่ผู้ป่วยได้รับความเข้าใจและการสนับสนุนจากคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว เพื่อนฝูง และที่ทำงาน  และได้รับโอกาสในการเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียมจะส่งผลให้ผู้ป่วยสามารถมีคุณภาพชีวิตและอยู่ร่วมกับโรคได้อย่างเข้าใจ

สสวท. อยากชวนทุกคนมาร่วมมือสร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะวันเบาหวานโลกไม่ใช่แค่การรณรงค์เพียงวันเดียว ไม่ใช่เป็นวันที่ทำให้เรากลัว แต่ให้เราตระหนักและเตือนให้รักตัวเองและมีส่วนร่วมได้ตลอดทั้งปีโดย (1) เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเบาหวานและแบ่งปันความรู้ให้คนรอบข้าง (2) หากมีปัจจัยเสี่ยง ควรได้รับการตรวจสุขภาพและระดับน้ำตาลเป็นประจำ (3) เข้าใจและให้กำลังใจผู้ป่วย และ (4) เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเพื่อเริ่มต้นมีสุขภาพที่ดีขึ้นตั้งแต่วันนี้

เอกสารอ้างอิง :


ส่งข้อความถึงเรา
Skip to content