สสวท. ชวนเรียนรู้ “ทะเลหมอก เกิดขึ้นได้อย่างไร” วิทยาศาสตร์ใกล้ตัวจากปรากฏการณ์ธรรมชาติ

ในช่วงปลายฤดูฝนต่อเนื่องถึงฤดูหนาว หลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะบริเวณภูเขาและหุบเขาสูงมักปรากฏหมอกสีขาวลอยตัวปกคลุมพื้นที่ด้านล่าง เมื่อมองจากที่สูงจะเห็นหมอกแผ่กว้างราวกับผืนทะเล จึงเกิดเป็นภาพที่เรียกว่า “ทะเลหมอก” ปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้ ไม่เพียงแต่มอบความสวยงามและสร้างความประทับใจให้กับผู้คนที่พบเห็นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิ ความชื้นในอากาศ และลักษณะภูมิประเทศ

ทะเลหมอกเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ทั้งสวยงามและน่าค้นหา โดยเฉพาะภาพหมอกขาวที่ปกคลุมภูเขาในยามเช้าเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละวัน จนกลายเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและผู้รักการถ่ายภาพตามสถานทีจุดชมทะเลหมอกชื่อดังของไทย เช่น ภูทับเบิก ดอยอินทนนท์ และภูชี้ฟ้า มักได้รับความนิยมในช่วงปลายฤดูฝนถึงฤดูหนาว

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) จึงชวนทุกคนเรียนรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ เรื่อง “ทะเลหมอก เกิดขึ้นได้อย่างไร” เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจวิทยาศาสตร์ใกล้ตัวและการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศรอบตัวเรา https://www.scimath.org/article-science/item/4619-2015-01-28-03-01-23   

ทะเลหมอก คือปรากฏการณ์ที่เกิดจาก หมอกซึ่งเป็นกลุ่มละอองน้ำขนาดเล็กที่ลอยอยู่ใกล้พื้นผิวโลกเมื่อมองจากพื้นที่สูง เช่น ยอดเขา จะเห็นหมอกแผ่ปกคลุมพื้นที่ด้านล่างคล้ายผืนทะเล หมอกและทะเลหมอกนั้นมีพื้นฐานของการเกิดขึ้นเหมือนกัน คือเกิดจากอุณหภูมิของอากาศที่ลดลงมากจนต่ำกว่าจุดน้ำค้าง (Dew Point) ทำให้ไอน้ำเกิดการกลั่นตัวเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก ในบรรยากาศใกล้ผิวโลก

การเกิดทะเลหมอกมีปัจจัยทางวิทยาศาสตร์หลายประการที่ทำงานร่วมกัน โดยเริ่มจากอุณหภูมิอากาศที่ลดลงจนถึงจุดน้ำค้าง ทำให้ไอน้ำในอากาศควบแน่นกลายเป็นละอองน้ำขนาดเล็ก ประกอบกับพื้นที่ที่มีความชื้นสูง เช่น หลังฝนตกหรือบริเวณที่มีพืชพรรณหนาแน่น จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเกิดหมอก นอกจากนี้ ลักษณะภูมิประเทศแบบหุบเขา แอ่งกระทะ หรือพื้นที่ต่ำ ยังเอื้อต่อการกักเก็บอากาศเย็น ทำให้หมอกสามารถก่อตัวและสะสมได้ดี ยิ่งหากมีสภาพอากาศลมสงบหรือมีลมอ่อน หมอกก็จะไม่กระจายตัวเร็ว จึงเกิดเป็นทะเลหมอกผืนกว้างที่สวยงามและน่าประทับใจ

เมื่อหมอกก่อตัวในพื้นที่ต่ำ และผู้สังเกตอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่า จึงมองเห็นหมอกเป็นผืนกว้างต่อเนื่อง เรียกว่า “ทะเลหมอก” ซึ่งมักพบได้ในช่วงเช้าตรู่ของฤดูหนาว และจะค่อย ๆ สลายไปตามธรรมชาติเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นหรือมีลมแรง

ทะเลหมอกไม่เพียงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่งดงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าค้นหา แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สามารถบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอนได้อย่างหลากหลาย ทั้งในด้านวิทยาศาสตร์ ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการเรียนรู้เชิงธรรมชาติและการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

  • ด้านวิทยาศาสตร์และการเรียนรู้ เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนสถานะของสสาร และความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความชื้น และบรรยากาศ ซึ่งคุณครูสามารถนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้อย่างใกล้ตัว
  • ด้านสิ่งแวดล้อมและภูมิอากาศ การเกิดทะเลหมอกสะท้อนถึงสภาพอากาศและลักษณะภูมิประเทศของพื้นที่ ช่วยให้เข้าใจระบบนิเวศและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในแต่ละฤดูกาล
  • ด้านการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ ทะเลหมอกเป็นเสน่ห์สำคัญของแหล่งท่องเที่ยวในหลายพื้นที่ ช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์และการเรียนรู้ธรรมชาติอย่างยั่งยืน

หมอกแบ่งออกเป็นหลายประเภทตามลักษณะทางกายภาพและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเกิด ได้แก่ หมอกที่เกิดจากการแผ่รังสีความร้อนในเวลากลางคืน หมอกจากการเคลื่อนที่ของมวลอากาศชื้นในแนวนอน หมอกที่เกิดตามพื้นที่ลาดเนินหรือสะสมในหุบเขา รวมถึงหมอกในสภาพอากาศหนาวจัดอย่างหมอกน้ำแข็ง และหมอกที่เกิดจากการระเหยของน้ำ เมื่อเรียนรู้ประเภทของหมอกเหล่านี้ จะช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความชื้น การเคลื่อนที่ของอากาศ และลักษณะภูมิประเทศได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทำให้ปรากฏการณ์หมอกที่พบเห็นในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องน่ารู้และชวนค้นหามากขึ้น ศึกษา
ได้จากบทความของ สสวท. ที่ https://www.scimath.org/article-chemistry/item/8396-2018-06-01-02-47-46

จากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่น่าตื่นตาและสวยงามอย่างทะเลหมอก ในช่วงปลายปีถึงต้นปีใหม่นี้ จึงเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการเดินทางไปท่องเที่ยวและเรียนรู้ เพราะนอกจากจะได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติแล้ว ยังช่วยให้เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิ ความชื้น และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศใกล้ตัวได้อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้ควรตรวจสอบสภาพอากาศ และเดินทางอย่างระมัดระวังเพื่อความปลอดภัย

อ่านเพิ่มเติมแหล่งข้อมูลอ้างอิง:


ส่งข้อความถึงเรา
Skip to content