
ใครจะคิดว่ากาแฟหนึ่งแก้วจะเป็นต้นทางให้เราได้สังเกต ทดลอง และทำความเข้าใจธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ที่มีจุดเริ่มต้นที่ไร่กาแฟมาสู่กาแฟถ้วยโปรดที่บ้าน ซึ่งทุกขั้นตอนล้วนมีวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง
ในวาระ “วันกาแฟสากล” ในวันที่ 1 ตุลาคม ของทุกๆ ปี นานาชาติได้ร่วมกันเฉลิมฉลองและส่งต่อคุณค่าของกาแฟทั้งห่วงโซ่ ตั้งแต่เกษตรกรผู้ปลูกจนถึงพวกเราผู้ดื่มด่ำกับรสชาติของกาแฟ ในวันกาแฟสากลเรามาจิบกาแฟแก้วโปรดผ่านสายตาของนักวิทยาศาสตร์น้อยในตัวเรากันเถอะ
ขณะที่จิบกาแฟ เรากำลังชิม “สารประกอบ” มากมายที่ร่วมกำหนดบุคลิก รวมถึงกลิ่นและรสของกาแฟ สารแรกได้แก่ คาเฟอีน (caffeine) ที่เป็นสารกระตุ้นทำให้รู้สึกตื่นตัว สำหรับกรดคลอโรจินิก (chlorogenic acids) ให้รสเปรี้ยวและคุณสมบัติต้านออกซิเดชัน ส่วนไตรโกเนลลีน (trigonelline) เป็นแอลคาลอยด์ที่มีบทบาทต่อกลิ่นรส และระหว่างการคั่วเมล็ดกาแฟ จะมีการสลายตัวของไตรโกเนลลีนให้สารประกอบระเหยกลุ่มไพริดีน (pyridine) ไพโรล (pyrrole) และ ไนอาซิน (niacin) ซึ่งเป็นสารประกอบที่ให้กลิ่นและรสของกาแฟ
ทั้งนี้ปฏิกริยาที่เกี่ยวข้องก็คือ ปฏิกิริยาเมลลาร์ด (Maillard reaction) ที่เกิดขึ้นระหว่างน้ำตาลกับกรดอะมิโนที่มีความร้อนเป็นตัวเร่งปฏิกริยา ทำให้เกิดสารประกอบสีน้ำตาลที่มีกลิ่นและรสต่างกันไป ซึ่งปฏิกิริยานี้เองที่ทำให้กาแฟมีกลิ่น “อบ-คั่ว” และสีเข้มขึ้นเมื่อคั่วมากขึ้นนั่นเอง
การชงกาแฟในแต่ละครั้งนั้น เปรียบเหมือนการสกัดสารเคมีแบบย่อที่มีปัจจัยหลักคืออัตราส่วนกาแฟต่อน้ำ อุณหภูมิของน้ำ ความละเอียดของการบด เวลา และคุณภาพน้ำ สำหรับอัตราส่วนของการชงกาแฟที่แนะนำโดย Specialty Coffee Association นั้นมีสัดส่วนที่ 1:17 ถึง 1:18 หรือกาแฟ 55 กรัมต่อน้ำประมาณ 1 ลิตร แล้วค่อย ๆ ปรับสัดส่วนของ กาแฟ:น้ำ ตามรสอ่อน-เข้มที่ชอบ ขณะที่ช่วงอุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมสำหรับการชงกาแฟส่วนใหญ่คือประมาณ 90–96 องศาเซลเซียส หากร้อนเกินไปกาแฟอาจให้รสชาติขมไหม้ แต่ถ้าเย็นเกินไปกาแฟก็จะมีรสจางหรือเปรี้ยวเกินจำเป็น
นอกจากนี้ค่า Total Dissolved Solids (TDS) และความเป็นด่าง (alkalinity) ของน้ำที่ใช้ในการชงกาแฟก็มีผลต่อการดึงรสชาติของกาแฟเช่นกัน หากค่า TDS สูงมากเกินไปแสดงว่ามีสารแขวนลอยมาก ทำให้ดึงรสชาติกาแฟออกมาได้น้อย และได้กาแฟรสชาติเหมือนมีโลหะผสม แต่ถ้า ค่า TDS ต่ำมากเกินไป อาจจะทำให้รสชาติกาแฟขม เฝื่อนและไม่หอม ส่วนความเป็นด่างนั้น หากความเป็นด่างสูงเกินไป จะไปลดความเปรี้ยวของกรดที่อยู่ในกาแฟ ในขณะที่น้ำที่มีค่าความเป็นด่างต่ำเกินไป เมื่อ pH เปลี่ยนแปลงก็จะไม่สามารถต้านทานได้ทำให้กาแฟเปรี้ยวมากเกินไป ดังนั้น คอกาแฟนิยมใช้น้ำกรองสะอาดที่มีค่า TDS ในช่วง 50-100 mg/l และความเป็นด่าง (Alkalinity) ใกล้ 40 ppm และไม่ใช้น้ำกลั่นล้วน ๆ เพื่อไม่ให้กาแฟมีรสชาติทื่อเกินไป
ส่วนคำถามยอดฮิต “ดื่มกาแฟแค่ไหนจึงพอดี” มีรายงานชี้ว่าสำหรับผู้ใหญ่สุขภาพดีโดยทั่วไปสามารถได้รับคาเฟอีนในปริมาณประมาณ 400 mg/วัน แต่ก็ต้องคำนึงถึงความไวต่อคาเฟอีนที่แตกต่างกันในแต่ละคนด้วย ขณะที่หญิงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรมีคำแนะนำให้จำกัดปริมาณคาเฟอีนประมาณ 200 mg/วัน และไม่ควรดื่มกาแฟรวดเดียวแต่อาจจะใช้วิธีจิบกาแฟตลอดวันแทน
ทั้งนี้ปริมาณคาเฟอีนในกาแฟของเรานั้นก็ขึ้นกับชนิดเมล็ดและวิธีชงอีกด้วย เช่น กาแฟดริปหนึ่งแก้วขนาด 8 oz หรือ 237 ml มีคาเฟอีนอยู่ประมาณ 96 mg เป็นต้น
จากกาแฟแก้วโปรดในช่วงเช้า คุณครูสามารถเชื่อมโยงกาแฟกับการเรียนรู้ในห้องเรียนได้โดยชวนนักเรียนร่วมวางแผนทดลองแบบควบคุมตัวแปร เช่น ชงกาแฟด้วยอัตราส่วนต่าง ๆ 1:15 1:18 และ 1:19 ที่อุณหภูมิเดียวกันแล้วบันทึกความเข้มสัมพัทธ์ หรือการนำน้ำชนิดต่าง ๆ กัน เช่น น้ำต้ม น้ำกรอง และน้ำบรรจุขวด มาทดลองชงกาแฟแล้วเปรียบเทียบพร้อมวัดค่า TDS ด้วยเครื่องวัด TDS meter และลองชิมกาแฟที่อาจจะมีรสชาติต่าง ๆ กัน จากนั้นมาร่วมกันอภิปรายผล โดยโยงการทดลองเข้ากับสาระวิทยาศาสตร์เรื่องสารละลายและความร้อน และสาระคณิตศาสตร์เรื่องกราฟและสถิติพื้นฐาน
การดื่มกาแฟให้เกิดผลดีกับตนเองนั้น จำเป็นต้องฟังร่างกายของเราเอง ค่อย ๆ ปรับสัดส่วน อุณหภูมิ และชนิดน้ำเพื่อหาจุดที่เราชอบและเหมาะสม และต้องคำนึงถึงปริมาณคาเฟอีนรวมที่ได้รับจากทุกแหล่งในแต่ละวัน หากมีภาวะสุขภาพหรือกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคกาแฟ
ในวันกาแฟสากลปีนี้ เราอาจมองกาแฟหนึ่งแก้วเป็นบทเรียนวิทยาศาสตร์ในชีวิตประจำวัน ที่ทั้งอร่อย สนุก และต่อยอดทักษะ STEM ให้กับผู้เรียนไปพร้อมกันเถอะ
เกร็ดเล็กเกร็ดน้อย :
รู้หรือไม่ จุลินทรีย์มีส่วนสำคัญในการผลิตกาแฟเช่นกัน หลังจากการเก็บเกี่ยวเมล็ดกาแฟแล้ว จะมีขั้นตอนการหมักเมล็ดกาแฟ (fermentation) ที่จุลินทรีย์หลากหลายจำพวก เช่น ยีสต์และแลคติกแอซิดแบคทีเรีย จะมาช่วยย่อยเมือกที่อยู่รอบ ๆ เมล็ดกาแฟ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบทางเคมีของเมล็ด กลายเป็นสารตั้งต้นกลิ่นและรส ซึ่งในเวลาต่อมาการคั่วเมล็ดกาแฟและการชงกาแฟก็จะทำให้ความหอมนั้นโดดเด่นขึ้น
ยีสต์นั้นมีบทบาทในการลอกเมือกโดยใช้เอนไซม์เพกติเนสย่อยเพกตินในชั้นเมือกและสร้างกรดและแอลกอฮอล์ที่เป็นสารตั้งต้นของกลิ่นผลไม้และดอกไม้ ส่วนแลกติกแอซิดแบคทีเรียจำพวก Leuconostoc Lactiplantibacillus Lactobacillus จะช่วยลด pH และสร้างกรดอินทรีย์ที่เพิ่มมิติของรสชาติ ให้ความหวาน นุ่ม ของกาแฟ อย่างไรก็ดีหลังจากขั้นตอนนี้จะต้องอบ ตากและเก็บรักษาเมล็ดกาแฟเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อราที่จะมาทำลายผลผลิต
อ้างอิง :
- EFSA NDA Panel (EFSA Panel on Dietetic Products, Nutrition and Allergies), 2015. Scientific Opinion on the safety of caffeine. EFSA Journal 2015; 13(5):4102, 120 pp. doi:10.2903/j.efsa.2015.4102
- Hanna Instruments. ปัจจัยที่ส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ | TDS Water. https://www.hannathailand.com/2022/06/22/%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%A2%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9C%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%AA%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95/ เข้าถึงข้อมูลวันที่ 13 ก.ย. 2568
- Hu GL, Wang X, Zhang L, Qiu MH. The sources and mechanisms of bioactive ingredients in coffee. Food Funct. 2019 Jun 19;10(6):3113-3126. doi: 10.1039/c9fo00288j. PMID: 31166336.
- International Coffee Organisation. International Coffee Day (ICD)| International Coffee Organisation. https://ico.org/international-coffee-day/ เข้าถึงข้อมูลวันที่ 13 ก.ย. 2568
- Mayo Clinic Staff. Caffeine content for coffee, tea, soda and more. https://www.mayoclinic.org/healthy-lifestyle/nutrition-and-healthy-eating/in-depth/caffeine/art-20049372 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 13 ก.ย. 2568
- Redwood Coff. ศาสตร์แห่งกาแฟฟิลเตอร์ Water Part1. https://redwoodcoff.com/the-science-of-filter-coffee- water-part-1 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 13 ก.ย. 2568
- Rojas-González A, Figueroa-Hernández CY, González-Rios O, Suárez-Quiroz ML, González-Amaro RM,
- Hernández-Estrada ZJ, Rayas-Duarte P. Coffee Chlorogenic Acids Incorporation for Bioactivity
- Enhancement of Foods: A Review. Molecules. 2022 May 25;27(11):3400. doi: 10.3390/molecules27113400.
- Seninde, D. R., & Chambers, E., IV. (2020). Coffee Flavor: A Review. Beverages, 6(3), 44. https://doi.org/10.3390/beverages6030044
- Specialty Coffee Association. SCA Standard 310-2021 Home Coffee Brewers: Specifications and Test Methods.https://static1.squarespace.com/static/584f6bbef5e23149e5522201/t/62fbd2d2aed180702280c014/1660670674796/SCA_Standard_310-2021.pdf เข้าถึงข้อมูลวันที่ 5 ก.ย. 2568
- The Perfect Pour Over Guide. Coffee Bros. How To Make The Perfect Pour Over.https://coffeebros.com/blogs/coffee/the-perfect-pour-over-guide เข้าถึงข้อมูลวันที่ 5 ก.ย. 2568
- U.S. Food & Drug Administration. Spilling the Beans: How Much Caffeine is Too Much? 28 August 2024. https://www.fda.gov/consumers/consumer-updates/spilling-beans-how-much-caffeine-too-muchเข้าถึงข้อมูลวันที่ 13 ก.ย. 2568
- พรรณพร กะตะจิตต์. 27 ก.ย. 2561. เคมีอธิบายอาหารไหม้ดำ. คลังความรู้ SciMath https://www.scimath.org/article-chemistry/item/8474-2018-07-18-04-06-45 เข้าถึงข้อมูลวันที่ 5 ก.ย. 2568