
เรียนรู้ อยุ่ร่วมอย่างเข้าใจ
วันที่ 30 มีนาคม เป็นวันที่ทั่วโลกเฉลิมฉลองกับไบโพลาร์ หรือ โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว วันนี้ตรงกับวันเกิดของ Vincent van Gogh ผู้ซึ่งได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นผู้ป่วยคนหนึ่งหลังจากที่เขาได้เสียชีวิตไปแล้ว วันไบโพลาร์โลกจึงถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้โลกได้ตระหนักถึงความสำคัญของโรคนี้
ไบโพลาร์เป็นอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นในระยะยาวไปจนตลอดชีวิตและเกิดขึ้นซ้ำได้ สาเหตุของการเกิดโรคยังไม่แน่ชัด สันนิษฐานได้ว่าอาจเกิดขึ้นจากพันธุกรรม สารเคมีในสมอง และสิ่งแวดล้อม ในบางกรณีพบว่า ความเครียดก็เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดโรคได้ เช่น ปัญหาด้านความสัมพันธ์ การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก การเจ็บป่วย ปัญหาทางการเงิน
งานวิจัยพบว่า สารเคมีในสมองไม่สมดุล โดยสารเคมีที่เป็นพระเอกเป็นสารเคมีจำพวกตระกูลเอมีน ได้แก่ นอร์เอพิแนฟริน (norepinephrine) โดพามิน (dopamine) และ เซโรโทนิน (serotonin) นอกจากนี้ ยังพบว่า สมองบางส่วนของผู้ป่วยมีการเปลี่ยนแปลงและมีขนาดเล็กลง แต่ก็ยังไม่อาจสรุปได้ขนาดของสมองเปลี่ยนแปลงเพราะโรคหรือโรคทำให้ขนาดของสมองมีการเปลี่ยนแปลง (เรียนรู้เรื่องฮอร์โมนเพิ่มเติมได้จาก https://proj14.ipst.ac.th/m4-6-biology/m6-bio-book5/)
เมื่อพบว่าตนเองหรือบุคคลใกล้ตัวมีอาการผิดปกติจนเข้าข่ายเป็นไบโพลาร์ นั่นคือมีอารมณ์ที่เศร้ามาก (Depression) หรือในบางครั้งมีความตื่นเต้น อารมณ์ดี รู้สึกตนเองพลังเหลือเฟือจนเกินขีดปกติ (Mania) ต้องรีบพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยและบำบัดทันที เพราะอารมณ์ที่แปรปรวนของผู้ป่วยอาจส่งผลร้ายรุนแรงเกินคาดได้ เช่น ไม่สามารถทำงานได้ ใช้เงินเกินตัวจนเป็นหนี้สิน การสังเกตความผิดปกติได้เร็วเท่าไหร่ จะยิ่งส่งผลดีมากเช่นกัน
แต่…อาการอารมณ์ดี หรือเสียใจอย่างมาก ไม่ได้หมายถึงว่าบุคคลนั้นเจ็บป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วจนต้องรับยาเสมอไป อาจเป็นอาการที่เกิดขึ้นระยะสั้น ๆ เพื่อตอบสนองต่อปัจจัยแวดล้อม จึงจำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ อย่างไรก็ตาม อาการเบื้องต้นของโรคที่อาจสังเกตได้ก่อนพบแพทย์มีดังนี้
Bipolar disorder หรือโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้ว ประกอบไปด้วยช่วยอารมณ์ดีสุดขีดและอารมณ์เศร้าสุดขีด ซึ่งอาจสังเกตได้จากอาการดังนี้
อารมณ์ดีสุดขีด (Mania) เช่น
- รู้สึกมีความสุข หรือตื่นเต้นมากเกินกว่าปกติ
- มีความคิดเกิดขึ้นมากมายและรวดเร็ว
- เปลี่ยนจากความคิดหนึ่งไปยังอีกความคิดหนึ่งอย่างรวดเร็ว
- พูดเร็วมาก
- ได้ยินเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน
- หงุดหงิดรำคาญใจผิดปกติ
- รู้สึกชื่นชมตัวเองจนเกินพอดี
- ขาดสมาธิ
- ไม่หลับไม่นอน นอนไม่หลับ หรือรู้สึกว่าไม่ต้องการนอน
- รู้สึกว่าตนเองมีความสามารถเกินจากที่ตนเองเป็น
- ตัดสินใจโดยไม่คิดให้รอบคอบแม้เป็นเรื่องสำคัญ
- ทำสิ่งผิดปกติที่อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น ใช้เงินมาก สนใจเรื่องเพศมากขึ้น ใช้ยาเสพติดหรือดื่มแอลกอฮอล์ เล่นการพนัน มีการตัดสินใจแปลก ๆ
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเกิดอาการของภาวะซึมเศร้า (Depression) ผู้ป่วยอาจมีอาการ
- อารมณ์ตก
- รู้สึกมีพลังงานลดลงและเหนื่อยล้า
- รู้สึกหมดหวังหรือคิดในแง่ลบ
- รู้สึกผิด ไร้ค่า หรือช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
- สนใจในกิจกรรมที่เคยชอบน้อยลง
- มีปัญหาในการจดจ่อ การจดจำ หรือการตัดสินใจ
- รู้สึกกระสับกระส่ายหรือหงุดหงิดง่าย
- นอนมากเกินไปหรือนอนไม่หลับ
- รับประทานอาหารได้น้อยหรือมากเกินไป
- น้ำหนักลดลงหรือเพิ่มขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ
- มีความคิดเกี่ยวกับความตายหรือการฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตาย
อย่างไรก็ตาม โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วเป็นโรคทางอารมณ์ที่ยังคงถูกเข้าใจผิดอย่างมากในสังคม ความเข้าใจผิดเหล่านี้อาจนำไปสู่การไม่เข้าใจผู้ป่วยและทำให้เกิดอุปสรรคในการเข้าถึงการรักษาที่เหมาะสม เช่น
1. โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วเป็นแค่การเปลี่ยนอารมณ์ธรรมดา
ความจริง: โรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วไม่ได้เป็นเพียงแค่ความอารมณ์แปรปรวนทั่วไป ผู้ป่วยจะมีช่วงอารมณ์ที่รุนแรงและต่อเนื่องนานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
2. คนที่เป็นโรคอารมณ์แปรปรวนสองขั้วมักไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้
ความจริง: หากได้รับการรักษาและการดูแลที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติและประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน รวมถึงมีความสัมพันธ์ที่ดีในสังคมได้
3. การใช้ยาเพียงอย่างเดียวสามารถรักษาโรคได้
ความจริง: แม้ว่ายาจะเป็นส่วนสำคัญในการรักษาโรคไบโพลาร์ แต่การบำบัดทางจิต การปรับพฤติกรรม และการดูแลสุขภาพจิตโดยรวมก็สำคัญเช่นกัน
4. ผู้ป่วยมักเป็นคนอันตราย
ความจริง: โรคนี้ไม่ได้ทำให้ผู้ป่วยเป็นบุคคลอันตราย ความรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับโรคนี้เกิดขึ้นได้น้อยมากเมื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม การเหมารวมเช่นนี้ทำให้ผู้ป่วยถูกตีตราและลังเลที่จะขอความช่วยเหลือ
5. ภาวะเมเนีย (Mania) เป็นช่วงเวลาที่สนุกและมีประสิทธิภาพ
ความจริง: แม้ว่าผู้ป่วยในช่วงนี้อาจรู้สึกมีพลังและคิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรได้มากมาย แต่ก็อาจนำไปสู่พฤติกรรมหุนหันพลันแล่น เช่น ใช้จ่ายเงินเกินตัว ตัดสินใจผิดพลาด หรือเสี่ยงต่ออันตรายโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
แพทย์จะจ่ายยาเพื่อช่วยควบคุมอารมณ์ของผู้ป่วย ในส่วนของผู้ดูแลหรือบุคคลในครอบครัว จะมีส่วนช่วยผู้ป่วยอย่างไรได้บ้าง
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับโรค การเข้าใจอาการของโรคซึ่งจะมีทั้งช่วงเวลาที่อารมณ์ดีสุดขีด และเศร้าอย่างมาก จะทำให้คุณซึ่งเป็นคนใกล้ตัวสามารถสังเกตเห็นอาการของโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
- รับฟังพวกเขาด้วยความอดทน ให้เวลารับฟัง ไม่รีบเร่งหาทาง “แก้ไข” ปัญหา หลีกเลี่ยงการขัดจังหวะหรือเสนอวิธีแก้ไข เพราะการรับฟังจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าคุณให้การสนับสนุนและใส่ใจ
- ช่วยดูแลเรื่องสุขอนามัยพื้นฐานอย่างเหมาะสม เช่น เข้านอนให้เป็นเวลา รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รวมทั้งการจัดการด้านการเงิน
- ดูแลกวดขันในเรื่องการกินยาและการพบแพทย์ ผู้ป่วยบางคนอาจรู้สึกไม่สบายตัวในระหว่างการกินยา จึงจะงดยาด้วยตนเอง ซึ่งการจะงดยาจำเป็นต้องได้รับคำสั่งจากแพทย์ และโดยส่วนใหญ่แล้ว ผู้ป่วยมักไม่คิดว่าตนเองเป็นผู้ป่วยจึงไม่ยอมกินยาและไม่เห็นความจำเป็นของการพบแพทย์
และสุดท้าย อย่าลืมดูแลตัวคุณเอง หาเวลาพักผ่อน ฝึกฝนการดูแลตัวเอง และผ่อนคลาย อย่าปล่อยให้ตนเองรู้สึกเหนื่อยล้าหรือเครียดจนเกินไป คุณต้องดูแลสุขภาพจิตของตนเองให้เข้มแข็งและแข็งแรง คุณจึงจะสามารถดูแลคนอื่นได้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
: https://www.scimath.org/article-science/item/9831-2019-02-21-08-57-17