“ครูยุคใหม่สู่การจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ” สิ่งจำเป็นที่ต้องมี

ความจำเป็นเร่งด่วนในการพัฒนาสมรรถนะและความฉลาดรู้ของผู้เรียน

“ฐานสมรรถนะ” เป็นคำสำคัญ ที่กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดไว้ในแผนการดำเนินงานทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อให้สอดคล้องกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา ที่จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ และนวัตกรรม 4 ด้าน ได้แก่ การคิดนอกกรอบ และต่อยอดเป็น การคิดอย่าง มีวิจารณญาณและแก้ปัญหาเองได้ การสื่อสารได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้

สืบเนื่องจากผลการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนไทยยังต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และผลการประเมิน PISA รอบปี 2018 จาก 79 ประเทศทั่วโลก พบว่า คะแนนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ของประเทศไทยมีแนวโน้มคงที่ เมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ แต่คะแนนการอ่านลดลง ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าความฉลาดรู้  (Literacy) หรือสมรรถนะในการเชื่อมโยงความรู้ แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์สถานการณ์ หรือปัญหา การหาคำตอบ แสดงเหตุผล หรือลงข้อสรุปได้อย่างมีวิจารณญาณ สามารถสื่อสารได้อย่างเหมาะสม ของนักเรียนไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ประเทศไทย   จึงจำเป็นต้องยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยปรับเปลี่ยนการเรียนรู้จากเดิมที่เคยเน้นเนื้อหาวิชาเป็นการสอน เพื่อพัฒนาสมรรถนะ และความฉลาดรู้ของนักเรียน มากกว่าที่จะเน้นให้เกิดการพัฒนาความรู้แต่เพียงอย่างเดียว เพราะความฉลาดรู้ และสมรรถนะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไทยที่ต้องมีเพื่อเป็นทักษะพื้นฐานในศตวรรษที่ 21 

แนวคิดสามเหลี่ยมการศึกษาเพื่อปรับเปลี่ยนการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี สู่การเรียนรู้ฐานสมรรถนะ และพัฒนาความฉลาดรู้ของผู้เรียน

การยกระดับคุณภาพการศึกษาดังกล่าวนั้น สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโลยี (สสวท.)  กระทรวงศึกษาธิการ ได้นำร่องขับเคลื่อนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อปรับเปลี่ยนการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน ภายใต้การจัดการเรียนรู้ ฐานสมรรถนะ และพัฒนาความฉลาดรู้ของผู้เรียน โดยจะดำเนินการอย่างต่อเนื่องในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565  ซึ่งกรอบการทำงานที่สำคัญประกอบด้วย การพัฒนาหลักสูตร และสื่อการเรียนการสอน การพัฒนาการจัดการเรียนการสอน และการพัฒนาแนวทางวัด และประเมินผลการเรียนรู้ 

         

แผนภาพสามเหลี่ยมการศึกษา

กรอบงานเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนตามแนวทาง สสวท.

  • – หลักสูตร
  • – การจัดการเรียนการสอน
  • – การวัดและประเมินผล 

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ  ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการ สสวท. อธิบายว่า “จากแนวคิดสามเหลี่ยมการศึกษาดังกล่าว พบว่า สิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องเปลี่ยนแปลง คือ การพัฒนาครูให้สามารถจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ การพัฒนารูปแบบการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ที่วัดการนำไปประยุกต์ใช้ การคิดวิเคราะห์ และการแก้ปัญหามากกว่า  วัดความจำ หรือที่เรียกว่าการวัดผลเชิงสมรรถนะนั่นเอง”

เนื่องจากสังคมปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในทุกด้าน ทำให้คนในสังคมมีทักษะ และเจตคติที่ต่างไปจากเดิม ตลอดจนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้การเข้าถึงความรู้ทำได้ง่ายขึ้น ดังนั้น การเรียนรู้จึงต้องปรับรูปแบบจากเดิมที่เคยเน้นถ่ายทอดเนื้อหาความรู้ ไปสู่รูปแบบการมุ่งเน้นใช้ฐานความรู้ และระบบความคิดที่บูรณาการและเชื่อมโยงความรู้สู่ชีวิตประจำวัน เช่น ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ และการตั้งคำถาม ความรู้ ด้านคณิตศาสตร์ ระบบการคิดเหตุผล และการหาความสัมพันธ์ ความเข้าใจ และความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เพื่อหล่อหลอมผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ และความคิดสร้างสรรค์ สามารถนำความรู้ไปใช้ให้เกิดการสร้างรายได้ รวมถึงการเรียนรู้ด้านวิชาชีพ และทักษะชีวิต โดยครูยุคใหม่จะต้องเปลี่ยนบทบาทจากครูผู้สอน เป็นโค้ช หรือ ผู้สนับสนุนการเรียนรู้  ทำหน้าที่กระตุ้น สร้างแรงบันดาลใจ ให้คำปรึกษา ชี้แนะวิธีการเรียนรู้ วิธีคิดที่สามารถบูรณาการความรู้ และเชื่อมโยงความรู้ สู่ชีวิตประจำวันให้แก่ผู้เรียน

  แนวโน้มการพัฒนาครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ในอนาคต

 “การที่จะยกระดับการศึกษาได้นั้น จำเป็นต้องอาศัยครูเป็นกำลังหลักที่สำคัญในการผลักดันให้ ก้าวไปข้างหน้า และบรรลุสัมฤทธิ์ผล สสวท. วางเป้าหมายการพัฒนาให้ครูสามารถจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ ได้อย่างเหมาะสม ภายใต้หลักสูตรฐานสมรรถนะ การวัด และประเมินผลการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นวัดสมรรถนะมากกว่าความรู้ความจำ ซึ่งปีงบประมาณที่ผ่านมา สสวท. ได้นำร่องการพัฒนาครูด้านการจัดการเรียนการสอนฐานสมรรถนะ มาแล้วส่วนหนึ่ง ผ่านการอบรมหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะการอบรมหลักสูตรเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่ม ศักยภาพครูให้มีสมรรถนะของครูยุคใหม่สำหรับการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 รายวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิทยาการคำนวณ โดยอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏร่วมเป็นพี่เลี้ยง นอกจากนี้ สสวท. ยังได้ปรับรูปแบบการอบรมเป็นแบบออนไลน์เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และในอนาคตจะขยายผลการพัฒนาครูผ่านแพลตฟอร์มที่เหมาะสมต่อไป” ผู้อำนวยการ สสวท. กล่าว

รัฐบาลได้กำหนดนโยบายเร่งด่วน ในการเตรียมคนไทยสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจ และวัตถุประสงค์ของการจัดตั้ง สสวท. ดังนั้น เพื่อขับเคลื่อนนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลดังกล่าว สสวท. และมหาวิทยาลัยราชภัฏ ในทุกภูมิภาค จึงได้ร่วมกันทำงานเชิงบูรณาการ เป็นแกนนำในการพัฒนาครูทุกพื้นที่ของประเทศ ให้เป็นครูยุคใหม่  ในศตวรรษที่ 21 โดยมุ่งเน้นในการพัฒนาการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ การออกแบบ และเทคโนโลยี และวิทยาการคำนวณ ส่งเสริมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ตามแนวทางของโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (PISA) เพิ่มประสิทธิภาพระบบบริหารจัดการศึกษา และการพัฒนาระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียนได้อย่างต่อเนื่อง

ผู้อำนวยการ สสวท. ยังได้กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาครูในปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ว่า การพัฒนาครู  ในปี 2565 สสวท. จะปรับรูปแบบการพัฒนาครู และบุคลากรทางการศึกษา เป็นแบบออนไลน์ ซึ่ง สสวท.   ได้พัฒนาระบบการอบรมครูมาเป็นระยะ ตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเน้นสร้าง  และพัฒนาการจัดการเรียนรู้ฐานสมรรถนะ 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรระดับพื้นฐาน ระดับกลาง และระดับสูง เพื่อนำไปสู่การพัฒนาผู้เรียนร่วมกับหน่วยงานเครือข่าย ให้มีสมรรถนะของครูยุคใหม่ในศตวรรษที่ 21 พัฒนาครูให้เป็นวิทยากรแกนนำมาตรฐานสูง พัฒนาครูในโรงเรียนโครงการพระราชดำริ โรงเรียนวังไกลกังวล และโรงเรียนโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย รวมทั้งพัฒนาครู สควค. ที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ให้มีศักยภาพสูงต่อไป ภายใต้การ “สร้างเด็กฉลาดรู้ ครูคุณภาพสูง ยกระดับการศึกษาไทย แข่งขันได้ด้วยฐานสมรรถนะ”

สินีนาฏ  จันทะภา ผู้ชำนาญฝ่ายยุทธศาสตร์ แผนและประกันคุณภาพ สสวท.  : ผู้เขียน


ส่งข้อความถึงเรา