ปรับนโยบายป้อนนักวิทย์สู่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

           รักษาการ รมว.ศึกษาฯ “คุณหญิงกัลยา” นำทีมประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 38-1/2564  โดยมีการปรับนโยบายป้อนนักวิทยาศาสตร์สู่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย พร้อมทั้งขยายฐานให้ส่งนักวิจัย/นักวิทยาศาสตร์ทุน พสวท. ชดใช้ทุนในหน่วยงานวิจัยเอกชนที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐ

          17 มีนาคม 2564 — ดร. คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้รับมอบหมายจาก รองนายกรัฐมนตรีที่กำกับการบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการให้เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ครั้งที่ 38-1/2564  ณ อาคารราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ โดยคณะกรรมการฯ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายและทิศทาง การดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อสร้างนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ที่มีประสิทธิภาพสูง และได้ครูมืออาชีพสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สอดคล้องกับความต้องการของประเทศ

          ดร. คุณหญิงกัลยา กล่าวว่า ประเด็นที่น่าสนใจในการประชุมครั้งนี้ คือ สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2563 ได้อนุมัติหลักการให้ขยายฐานหน่วยปฏิบัติงานตอบแทนทุนด้วยการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. รวมถึงภาคเอกชน เนื่องจากปัจจุบันภาคเอกชนได้ลงทุนเพื่อการวิจัยมากขึ้นและมีตำแหน่งงานที่เหมาะสม  และคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีรองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานกรรมการ ได้มีมติเห็นชอบให้ขยายฐานหน่วยงานเอกชนที่มีหน่วยปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลให้ผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท. สามารถปฏิบัติงานตอบแทนทุนได้ในเบื้องต้น 46 แห่ง โดยมีผู้สำเร็จการศึกษาจากทุนพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ทุน พสวท.) เข้าปฏิบัติงานในหน่วยงานเอกชนเป็นกรณีนำร่องแล้ว เช่น บริษัท เอสบีซี อบาคัส จำกัด  สถาบันวิทยสิริเมธี  บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด  ทั้งนี้ ผู้สำเร็จการศึกษาฯ จะต้องรายงานความก้าวหน้าการทำวิจัยทุก 6 เดือน  และในการประชุมครั้งนี้ได้มีมติให้เพิ่มหน่วยงานเอกชนอีก 1 แห่ง คือ บริษัท ฮอทิเจนเนติคส์ รีเสิร์ช (เอส.อี.เอเซีย) รวมเป็น 47 แห่ง 

          “การที่นักวิจัยที่เป็นผู้สำเร็จการศึกษาทุน พสวท.  ได้เข้าร่วมในหน่วยปฏิบัติงานวิจัยและพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในหน่วยงานเอกชนตามที่มีแผนพัฒนาร่วมกันนับว่าเป็นการขยายฐานการวิจัยเพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศได้ตรงจุด รวมทั้งทำให้นักวิจัยได้รับการสนับสนุนในด้านเทคโนโลยีและทรัพยากรที่เหมาะสม ทันสมัยจากภาคเอกชน ส่งผลให้เกิดขวัญกำลังใจที่จะสร้างงานวิจัยตอบแทนประเทศ โดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์แรกเริ่มของการให้ทุน พสวท. คือ ต้องการสร้างนักวิจัยหรือนักวิทยาศาสตร์ศักยภาพสูงมาร่วมพัฒนาประเทศ”

          นอกจากนั้น ที่ประชุมยังได้มีมติให้ปรับเพิ่มสาขาวิชาที่สามารถเลือกศึกษาในระดับปริญญาตรีสู่ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายของรัฐบาล เพื่อตอบโจทย์กลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต ภายใต้แนวคิดที่ว่าประเทศไทยสามารถผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจใน 2 รูปแบบ ได้แก่ 5 อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพ และ 5 อุตสาหกรรมอนาคต โดยจากเดิมการรับทุน พสวท. ระดับปริญญาตรี สามารถเลือกศึกษาได้เฉพาะด้านวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ 6 สาขาวิชา (คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ธรณีวิทยา และพฤกษศาสตร์)  จึงได้ปรับเพิ่มให้สามารถเลือกศึกษาด้านวิทยาศาสตร์ประยุกต์ได้ โดยให้พิจารณาสัดส่วนระหว่างวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์กับวิทยาศาสตร์ประยุกต์ ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับความต้องการของประเทศ อีก 42 หลักสูตร  เช่น จุลชีววิทยา  เคมีบูรณาการ เคมีอุตสาหกรรม เทคโนโลยีชีวภาพ วัสดุศาสตร์และนาโนเทคโนโลยี วิทยาศาสตร์การกีฬา วิทยาการข้อมูล วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม  วิทยาศาสตร์พอลิเมอร์ วิทยาศาสตร์ชีวภาพรังสี  วิทยาศาสตร์นิวเคลียร์

          ศาสตราจารย์ ดร. ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการกำหนดนโยบายการดำเนินงานพัฒนาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวว่า ทุน พสวท. ได้เริ่มดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527  ปัจจุบันมีผู้สำเร็จการศึกษา 1,732 คน เข้าปฏิบัติงานตอบแทนทุนตามหน่วยงานต่าง ๆ 1,692 คน อยู่ระหว่างรอบรรจุ เข้าตอบแทนทุน 40 คน ผู้สำเร็จการศึกษาได้สร้างองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ รวมถึงสร้างผลงานวิจัยและนวัตกรรมจำนวนมาก ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ 19 คน ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในระดับชาติและนานาชาติ และทุนวิจัยจากหน่วยงานต่าง ๆ 62 รางวัล และยังมีผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติจนเป็นที่ยอมรับในวงการวิทยาศาสตร์  นอกจากนี้ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  (COVID-19) ผู้สำเร็จการศึกษาจำนวนหนึ่งได้สร้างนวัตกรรม งานวิจัย พัฒนา และสื่อสารข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ (COVID-19) ที่ถูกต้อง

          ในส่วนของการดำเนินโครงการส่งเสริมการผลิตครูที่มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปี 2539 ในการผลิตครูผู้สอนวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ และคอมพิวเตอร์ ที่มีความรู้ความสามารถสูง เป็นผู้นำทางวิชาการ ให้เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาและยกระดับคุณภาพการเรียนการสอน ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมา มีผู้สำเร็จการศึกษาทุน สควค. และเข้าปฏิบัติงานในโรงเรียนและหน่วยงานทาง  การศึกษา 5,397 คน ซึ่งนอกจากได้ปฏิบัติงานสอน พัฒนาและส่งเสริมนักเรียนให้ได้รับรางวัลในเวทีการประกวดต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศแล้ว ยังมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนการเรียนการสอนของประเทศ โดยร่วมเป็นวิทยากรแกนนำในโครงการต่าง ๆ ของ สสวท.  ร่วมเป็นคณะทำงานในโครงการต่าง ๆ ของ สพฐ.  พร้อมทั้งโครงการสำคัญต่าง ๆ อีกมากมาย  นอกจากนี้ ครู สควค. ยังได้รับรางวัลหนึ่งครูแสนดี 44 คน รางวัลครูสอนดี ครูดีเด่น ครูดีเยี่ยม ครูดีในดวงใจ 94 คน  รางวัล OBEC  AWARDS 18 คน รางวัลวิจัยคุรุสภา 9 คน  รางวัลครูวิทยาศาสตร์ดีเด่น 4 คน และรางวัลอื่น ๆ อีกจำนวนมาก และบางส่วนได้รับเชิญเป็นกรรมการระดับนานาชาติ

          “สสวท. ได้เสนอขออนุมัติการดำเนินงานโครงการ สควค. ระยะที่ 4 (พ.ศ. 2564-2567) โดยมุ่งเน้น จะพัฒนาทักษะสำคัญต่าง ๆ โดยเฉพาะในด้าน Digital Literacy การทำวิจัยในชั้นเรียน และการนำการเรียนการสอนรูปแบบใหม่ หรือใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาการเรียนการสอน เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี”


ส่งข้อความถึงเรา
Skip to content